ในขณะที่จอดรถ เราไม่ควรยกก้านปัดน้ำฝนขึ้นนะครับ เพราะในก้านปัดน้ำฝน จะมีสปริงยึดไว้อยู่ เพื่อกดให้ก้านปัดน้ำฝนแนบกระจกรถตลอดเวลา เมื่อวิ่งด้วยความเร็วสูง ลมที่ไหลผ่านกระจกหน้ารถ จะยกให้ใบปัดน้ำฝนลอยตัว สปริงในก้านปัดก็จะคอยกดไม่ให้ใบปัดน้ำฝน ยกตัวขึ้นนั่นเอง หากเรายกก้านปัดบ่อยๆ ก็จะเป็นสาเหตุให้สปริงล้าและไม่มีแรงกดใบปัดน้ำฝนได้ครับ ทำให้ก้านปัดไม่มีแรงกดดังกล่าว แถมยังทำให้ปัดกระจกไม่เอี่ยมด้วยครับ...
เข้าหน้าฝนแล้ว...ดูแลรถแล้วอย่าลืมดูแลตัวคุณเองด้วยละครับ...
วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554
วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2554
สาเหตุของแบตเตอรี่เสื่อม
โดยหลักใหญ่ใจความแล้ว การเสื่อมของแบตเตอรี่ มีมากมายหลายประการมาก แต่จากประสบการณ์ที่เจอ หนีไม่พ้นที่จะแนะนำบอกกล่าวไม่กี่อย่างเองครับ...
สาเหตุของแบตเตอรี่เสื่อมที่เจอมากที่สุด มีดังนี้ครับ
1.จอดรถเป็นเวลานาน (ตั้งแต่ 2-3 อาทิตย์ ขึ้นไป) เพราะแบตฯ.จะคลายประจุหมด โดยไม่มีการชาร์ทไฟเข้าหม้อแบตฯ.เลย แก้ไขโดยนำไปชาร์ทไฟตามปรกติ ถ้าชาร์ทเข้าและแบตฯ.เก็บไฟอยู่ ก็ใช้การได้ตามปรกติครับ
2.ปล่อยให้น้ำกรดในหม้อแบตฯ.แห้ง หรือต่ำกว่าระดับที่กำหนด
การที่น้ำกรดในหม้อแบตฯ.จะแห้งได้ ต้องเกิดจากการใช้งานมาเป็นเวลานานพอสมควร (อาจจะ 1 ปีขึ้นไป หรือมากน้อยกว่านี้โดยประมาณ หรือ ไดชาร์ททำงานตลอดเวลา ตัวคัทเอาท์ไฟไม่ตัดเมื่อแบตเตอรี่เต็ม ทำให้ความร้อนเกิดขึ้น น้ำในแบตฯ.จึงค่อยๆระเหย จนแห้งในที่สุด
แก้ไขโดยต้องสร้างวินัยให้ตัวเอง โดยการตรวจระดับน้ำกรดในแบตฯ.ทุกๆ 3เดือนเป็นอย่างน้อย หากแบตฯ.แห้ง ให้รีบเติมน้ำกลั่น ให้ได้ระดับขีดบนสุดที่กำหนดไว้ (ปรกติจะชนเสมอกับขอบพลาสติกที่ยื่นลงภายในของแต่ละช่อง (ตามรูป)
ในการเติมน้ำกลั่นลงในหม้อแบตฯ.เมื่อแห้ง อาจมีผลทำให้รถสตาร์ทไม่ติด เนื่องจาก ถพ.(ความถ่วงจำเพาะ)ของน้ำกรดต่ำกว่าที่กำหนด หรือกรดจืดนั่นเอง แก้ไขโดยนำไปชาร์ท ก็สามารถนำกลับมาใช้ได้ตามปรกติครับ...
3.ตัวระบบรถเองมีปัญหาในเรื่องไดชาร์ท, ไดสตาร์ท, คัทเอาท์แบตฯ. หรือ ไฟรั่วในรถยนต์เอง ทำให้ไปกระทบกับตัวแบตฯ.ทางอ้อม ซึ่งกรณีนี้ คงต้องแนะนำให้ไปหาช่างที่ไว้ใจได้ต่อไปครับ
นี่คือ 3 สาเหตุหลักที่ทำให้แบตฯ.ของรถคุณ เสื่อมสภาพได้ครับ ลองไล่หาสาเหตุดูครับว่า เกิดจากอาการเหล่านี้หรือไม่ครับ ส่วนนอกเหนือจากนี้ ลองนำมาเล่าแชร์ประสบการณ์สู่กันฟังในวันหน้าก็ได้นะครับ...
สาเหตุของแบตเตอรี่เสื่อมที่เจอมากที่สุด มีดังนี้ครับ
1.จอดรถเป็นเวลานาน (ตั้งแต่ 2-3 อาทิตย์ ขึ้นไป) เพราะแบตฯ.จะคลายประจุหมด โดยไม่มีการชาร์ทไฟเข้าหม้อแบตฯ.เลย แก้ไขโดยนำไปชาร์ทไฟตามปรกติ ถ้าชาร์ทเข้าและแบตฯ.เก็บไฟอยู่ ก็ใช้การได้ตามปรกติครับ
2.ปล่อยให้น้ำกรดในหม้อแบตฯ.แห้ง หรือต่ำกว่าระดับที่กำหนด
การที่น้ำกรดในหม้อแบตฯ.จะแห้งได้ ต้องเกิดจากการใช้งานมาเป็นเวลานานพอสมควร (อาจจะ 1 ปีขึ้นไป หรือมากน้อยกว่านี้โดยประมาณ หรือ ไดชาร์ททำงานตลอดเวลา ตัวคัทเอาท์ไฟไม่ตัดเมื่อแบตเตอรี่เต็ม ทำให้ความร้อนเกิดขึ้น น้ำในแบตฯ.จึงค่อยๆระเหย จนแห้งในที่สุด
แก้ไขโดยต้องสร้างวินัยให้ตัวเอง โดยการตรวจระดับน้ำกรดในแบตฯ.ทุกๆ 3เดือนเป็นอย่างน้อย หากแบตฯ.แห้ง ให้รีบเติมน้ำกลั่น ให้ได้ระดับขีดบนสุดที่กำหนดไว้ (ปรกติจะชนเสมอกับขอบพลาสติกที่ยื่นลงภายในของแต่ละช่อง (ตามรูป)
ภาพแสดงระดับการเติมน้ำกลั่น |
ภาพแสดงระดับการเติมน้ำกลั่นต่ำและปกติ |
ในการเติมน้ำกลั่นลงในหม้อแบตฯ.เมื่อแห้ง อาจมีผลทำให้รถสตาร์ทไม่ติด เนื่องจาก ถพ.(ความถ่วงจำเพาะ)ของน้ำกรดต่ำกว่าที่กำหนด หรือกรดจืดนั่นเอง แก้ไขโดยนำไปชาร์ท ก็สามารถนำกลับมาใช้ได้ตามปรกติครับ...
3.ตัวระบบรถเองมีปัญหาในเรื่องไดชาร์ท, ไดสตาร์ท, คัทเอาท์แบตฯ. หรือ ไฟรั่วในรถยนต์เอง ทำให้ไปกระทบกับตัวแบตฯ.ทางอ้อม ซึ่งกรณีนี้ คงต้องแนะนำให้ไปหาช่างที่ไว้ใจได้ต่อไปครับ
นี่คือ 3 สาเหตุหลักที่ทำให้แบตฯ.ของรถคุณ เสื่อมสภาพได้ครับ ลองไล่หาสาเหตุดูครับว่า เกิดจากอาการเหล่านี้หรือไม่ครับ ส่วนนอกเหนือจากนี้ ลองนำมาเล่าแชร์ประสบการณ์สู่กันฟังในวันหน้าก็ได้นะครับ...
วันอังคารที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2554
เรื่องจริงที่ควรรู้เกี่ยวกับแบตเตอรี่ !!!
นี่คือตารางรุ่นและความจุของแบตเตอรี่ที่มีขายตามท้องตลาดครับ
รุ่นที่คนถามมากที่สุดคือ NS100 กับ G120 ครับ !!!
NS100 คนมักเข้าใจว่าเป็น 100 แอมป์ครับ แต่ถ้าดูในตารางที่ถูกต้องคือ 75 แอมป์ครับ ไม่ใช่ 100 แอมป์อย่างที่เข้าใจกัน 100 คือรุ่นครับไม่ใช่แอมป์ แอมป์จริงๆคือ 75 ครับ ในทำนองเดียวกัน G120 ก็ไม่ใช่ 120 แอมป์ครับ มันเป็นรุ่นในการกำหนดของแต่ละบริษัทครับ กระแสจริงๆคือ 80-85 แอมป์ครับ
ที่อยากให้รู้ก็คือ ตัวท๊อปของปิคอัพแต่ละรุ่น ใช้รหัส 105D31R/L ครับ ( R/L เป็นแค่การสลับขั้วของแบตฯ.เพื่อวางแบตฯ.ให้เหมาะสมกับเรื่องยนต์ครับ ตามรูปล่าง) จุตะกั่วได้สูงสุดแค่ 19 แ่ผ่นครับ
ตัวอย่างของแบตเตอรี่ขั้ว R / L |
จำนวนตะกั่วในแต่ละช่องของแบตเตอรี่ขนาด 70 แอมป์ (กว้างxยาวxสูง เท่ากัน ต่างกันแค่จำนวนแผ่นตะกั่วที่ใส่ในแต่ละช่องครับ ยิ่งใส่เยอะยิ่งกระแสสูงและราคาก็จะแพงขึ้นครับ) สามารถใส่ได้ตั้งแต่ 13 แผ่น, 15 แผ่น, 17 แผ่น และสูงสุดในตอนนี้คือ 19 แผ่น ซึ่งก็คือรุ่นท๊อปของแต่ละยี่ห้อซึ่งก็คือ 105D31R/L นั่นเองครับ
ในการใช้งานให้เหมาะสม โดยเน้นที่รถปิคอัพก่อนนะครับ ควรใช้ดังนี้
N70, 65D31R/L เหมาะกับเครื่องยนต์ ไม่เกิน 2500 CC.
N70Z, NS100, 75D31R/L เหมาะกับเครื่องยนต์ 2500-2700 CC.
95D31R/L, G120, NS120 เหมาะกับเครื่องยนต์ 2800-3000 CC.
105D31R/L เหมาะกับเครื่องยนต์ 3000 CC. ขึ้นไป และรถที่ใช้ไฟเยอะๆหรือเล่นเครื่องเสียง
ฉะนั้นในการเปลี่ยนแบตฯ.ครั้งต่อไป ลองพิจารณาตามข้อมูลที่ได้ให้กับท่านไว้ นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับรถของท่านได้เลยครับ...
วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2554
หัวเชื้อน้ำมันเครื่อง...จำเป็นหรือไม่???
หัวเชื้อน้ำมันเครื่อง เท่าที่ทราบ บางยี่ห้อที่ดีๆจะมีสารเพิ่มประสิทธิภาพใส่มาเพื่อช่วยเพิ่มความหนืดของฟิล์มน้ำมันเครื่องให้ข้นขึ้น เพื่อชะลอการกินน้ำมันเครื่องของเครื่องยนต์ของท่าน โดยเฉพาะในบางรายที่เครื่องเก่ามากแล้ว ใกล้ฟิตใหม่เต็มทีก็อาจจะรู้สึกดีหน่อย ทำให้รู้สึกได้ว่ากินน้ำมันเครื่องน้อยลง หรือไม่กินเลย และในบางรายอาจมีความรู้สึกว่า เครื่องฟิตขึ้น เร่งเร็วและแรงขึ้น ลดควรดำ ฯลฯ. ซึ่งก็แล้วแต่ประสบการณ์ของแต่ละคนครับ
แต่ในความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ ว่ากันตามตรง ถ้าไม่เคยใช้ อย่าใช้ดีกว่าครับ เลือกน้ำมันเครื่องที่เกรดสูงหน่อย มีสารเพิ่มประสิทธิภาพที่อาจมีเหมือนในหัวเชื้อน้ำมันเครื่องน่าจะดีกว่านะครับ แต่ถ้าเคยใช้แล้วรู้สึกว่าดี...ย้ำ...รู้สึกว่าดี..รู้สึกได้ว่าเครื่องโอเค ก็จงใช้ต่อไปครับ เพราะว่าอาจจะเหมาะกับรถของท่านก็ได้
ส่วนใหญ่ผมจะแนะนำให้ใช้น้ำมันเครื่องดีๆแทนการใช้หัวเชื้อน้ำมันเครื่องครับ รถปิคอัพใช้น้ำมันเครื่องเกรด CF-4 ขึ้นไปก็ใช้ได้แล้วครับ ความหนืดที่เหมาะสม ถ้ารถเก่าหน่อยใช้ SAE 20w-50 ถ้าใหม่หน่อยใช้ SAE 15w-40 ก็เหมาะดีครับ แต่ถ้ารถของท่านเป็นเครื่องคอมมอนเรล เหมาะที่สุดควรเป็น SAE 10w-30 ตรงรุ่นเลยละครับ
ตัวอย่างหัวเชื้อน้ำมันเครื่อง |
วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
SAE ...คือ...?
นอกเหนือจากเกรดของน้ำมันเครื่องแล้ว ยังมีอีกอย่างที่ผู้ใช้รถอย่างเราควรทราบ..ก็คือ...
ค่าความหนืดของน้ำมันครับ !!!
SAE ย่อมาจาก Society of Automotive Engineering หมายถึง สมาคมวิศวกรยานยนต์ เป็นสมาคมที่ทำหน้าที่ค้นคว้าวิจัย และวางกฎเกณฑ์มาตรฐานต่างๆ เกี่ยวกับรถยนต์ของสหรัฐอเมริกา
SAE จะใช้การวัดค่าความหนืดของน้ำมัน(ความข้นใส)เป็นหลักครับ โดยแบ่งเป็น 2 เกรด คือ
1.น้ำมันเครื่องเกรดเดี่ยว (โมโนเกรด)
2.น้ำมันเครื่องเกรดรวม (มัลติเกรด)
น้ำมันเครื่องเกรดเดี่ยว (โมโนเกรด) เป็นน้ำมันที่ใช้เลขตัวเดียวเป็นตัวกำหนดค่าความหนืดของน้ำมันครับ เช่น SAE 30 , SAE 40 หรือ SAE 50 เป็นต้น ตัวเลขต่ำแปลว่าความหนืดต่ำ ตัวเลขยิ่งสูงคือยิ่งหนืดครับ ความหนืดของน้ำมันจะไม่เปลี่ยนไปตามอุณหภูมิ ไม่ว่าจะร้อนหรือหนาว ความหนืดจะคงที่ครับ (ตามเบอร์ที่ใช้) เบอร์ยอดนิยม น่าจะเป็น SAE 40 เป็นสเปคของเครื่อง TFR(มังกรทอง) ที่ใช้กับรถตั้งแต่ปี 1987-1995 และความหนืด SAE 40 นี้ยังเหมาะกับรถรอบไม่จัดมาก รถรุ่นเก่าๆที่เริ่มกินน้ำมันเครื่องครับ หรือรถบรรทุก 6 ล้อ หรือ 10 ล้อ ก็ใช้ได้ดีครับ อ้อ...ดูค่า API ด้วยนะครับ อย่างน้อยควรจะ API CC ขึ้นไปครับ ถ้าเป็น API CF ขึ้นไปยิ่งดีมากครับ...
น้ำมันเครื่องเกรดรวม (มัลติเกรด) เป็นน้ำมันเครื่องที่ใช้เลข 2 ตัวกำกับครับ เช่น SAE 15w40 , SAE 20w50 หรือ SAE 10w30 เป็นต้น ค่าของมันบ่งบอกอะไรแก่เราได้บ้าง?... ค่าตัวเลข 2 ตัว บอกให้เราได้รู้ว่า เมื่ออุณหภูมิต่ำ ค่าความหนืดน้ำมันก็จะต่ำตามอุณหภูมิครับแต่ไม่เกินค่าที่กำหนดไว้ครับ และเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ค่าความหนืดน้ำมันก็จะปรับตัวสูงตามอุณหภูมิแต่ไม่เกินค่าที่กำหนดเช่นกันครับ
ยกตัวอย่าง เช่น น้ำมันเครื่อง SAE 10w30 เป็นน้ำมันเครื่องที่ถูกออกแบบมา ให้มีค่าความหนืด SAE 10w เมื่อทำงานที่อุณหภูมิต่ำ และมีค่าความหนืด SAE 30 ที่อุณหภูมิสูงขึ้น โดย ค่า " w " เป็นตัวย่อของ " winter " ที่ระบุค่าความหนืดของน้ำมันภายใต้อุณภูมิต่ำ นั่นเอง
รถรุ่นใหม่ๆ นิยมใช้น้ำมันเครื่องแบบมัลติเกรดมากกว่า โมโนเกรดครับ เพราะตอบสนองการทำงานได้ดีกว่า ประสิทธิภาพสูงกว่า ทำให้เหมาะสมกว่า ในหลายๆด้านครับ โฆษณาบางตัว ยังคุยเลยครับว่า " ปกป้องทันทีที่สตาร์ท " ก็จะไม่ปกป้องอย่างไรเล่าครับ ในเมื่อน้ำมันใสกว่า สามารถไปเคลือบชิ้นส่วนเครื่องยนต์ ลดการเสียดสีระหว่างเครื่องทันที...เช่นนั้นแล้วก็พิจารณากันเอาเองนะครับ ว่าจะใช้น้ำมันเครื่องแบบไหนดีให้เหมาะสมกับรถของท่าน ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดครับ.....
ตัวอย่างน้ำมันเครื่อง SAE 10w40 |
ตัวอย่างน้ำมันเครื่อง SAE 10w30 |
วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
มาตรฐานน้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์ดีเซล
จากบทก่อน ได้อธิบายชั้นมาตรฐานน้ำ้มันเครื่องเบนซินแล้ว ฉะนั้นบทนี้ คงหนีไม่พ้นต้องมาขยายความต่อเรื่องชั้นมาตรฐานของน้ำมันเครื่องดีเซลครับ...
ชั้นมาตรฐาน น้ำมันเครื่องดีเซล
CA สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลที่ใช้งานเบา เหมาะสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลที่ผลิตขึ้นระหว่าง คศ. 1910-1950 (พ.ศ.2453-2493) มีสารเพิ่มคุณภาพเล็กน้อย เช่น สารป้องกันการกัดกร่อน สารป้องกันคราบเขม่าไปเกาะติดบริเวณลูกสูบผนังลูกสูบและแหวนน้ำมัน
CB สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลธรรมดา งานเบาปานกลาง มาตรฐานนี้เริ่มประกาศใช้เมื่อ คศ. 1949 (พ.ศ.2492) มีคุณภาพสูงกว่า CA โดยสารคุณภาพดีกว่า CA
CC สำหรับเครื่องยนต์ที่ติดซุปเปอร์ชาร์จหรือเทอร์โบ มาตรฐานนี้เริ่มประกาศใช้เมื่อ คศ. 1961(พ.ศ.2504) ซึ่งมีคุณภาพสูงกว่า CB โดยเพิ่มคุณสมบัติในการป้องกันคราบเขม่ามีสารป้องกันสนิมและกัดกร่อน ไม่ว่าเครื่องยนต์จะร้อนหรือเย็นจัดก็ตาม
CD สำหรับเครื่องยนต์ที่ติดซุปเปอร์ชาร์จหรือเทอร์โบที่ใช้งานหนัก และรอบจัดเริ่มประกาศใช้ คศ.1955 (พ.ศ.2498) มีคุณภาพสูงกว่า CC
CD-II สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล 2 จังหวะ เริ่มประกาศใช้เมื่อปี 1988 (พ.ศ.2531) ส่วนใหญ่เป็นเครื่องยนต์ดีทรอยด์ ซึ่งใช้ในกิจการทางทหาร
CE สำหรับเครื่องยนต์ที่ติดซุปเปอร์ชาร์จหรือเทอร์โบที่ใช้งานหนัก และรอบจัดเริ่มประกาศใช้ คศ. 1983 (พ.ศ.2526) มีคุณภาพสูงกว่า CD ป้องกันการกินน้ำมันเครื่องได้อย่างดีเยี่ยม
CF เป็นมาตรฐานในเครื่องยนต์ดีเซลในปัจจุบัน สำหรับเกรดธรรมดา ( Mono Grade) เริ่มประกาศใช้เมื่อ คศ. 1994 (พ.ศ.2537) เหมาะสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลทุกชนิดไม่ว่าจะใช้งานหนักหรือเบา สามารถใช้แทนในมาตรฐานที่รอง ๆ ลงมา เช่น CE, CD, CC ได้ดีกว่าอีกด้วย
CF-2 สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลรุนใหม่ 2 จังหวะเริ่มประกาศใช้เมื่อปี 1994 (พ.ศ.2537)ส่วนใหญ่เป็นเครื่องยนต์ดีทรอยด์ ซึ่งใช้ในกิจการทางทหาร
CF-4 สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลรุ่นใหม่ 4 จังหวะที่ติดซุปเปอร์ชาร์จหรือเทอร์โบที่ใช้งานหนักและรอบจัด เริ่มประกาศใช้เมื่อปี 1990 (พ.ศ.2533) เป็นน้ำมันเครื่องเกรดรวม สามารถป้องกันการกินน้ำมันเครื่องได้ดีเยี่ยม
CG-4 สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลรุ่นใหม่ 4 จังหวะซึ่งเป็นมาตรฐานยอดนิยมในปัจจุบัน เริ่มประกาศใช้ปี 1996 (พ.ศ.2539) เป็นน้ำมันเครื่องเกรดรวม
ขอบคุณข้อมูล http://marine.rtna.ac.th/Webpage/Comment/Com01_1.htm
ปัจจุบัน น้ำมันเครื่องดีเซล ได้พัฒนาไปจนถึงขั้น CI แล้วครับ ดังรูปล่าง
ตัวอย่างน้ำมันเครื่องดีเซล เกรด API CI-4/SL |
วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
มาตรฐานน้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์เบนซิน
จากบทก่อนหน้าที่ได้อธิบายเรื่องการดูเกรดของน้ำมันเครื่อง ระหว่างน้ำมันเครื่องดีเซลและเบนซินมาแล้วนั้น มาบทนี้ จะเจาะลึกลงในรายละเอียด ให้เห็นชัดขึ้นนะครับ ว่ามีรายละเอียดเพิ่มมาอย่างไร ตามมาครับ...
ชั้นมาตรฐาน น้ำมันเครื่องเบนซิน
SA สำหรับเครื่องยนต์เบนซินใช้งานเบาไม่มีสารเพิ่มคุณภาพ
SB สำหรับเครื่องยนต์เบนซินใช้งานเบามีสารเพิ่มคุณภาพเล็กน้อย และสารป้องกันการกัดกร่อนไม่แนะนำให้ใช้ในเครื่องยนต์รุ่นใหม่
SC สำหรับเครื่องยนต์เบนซินที่ผลิตระหว่าง คศ. 1964-1967 (พศ.2507-2510)โดยมีคุณภาพสูงกว่ามาตรฐาน SB เล็กน้อย เช่น มีสารควบคุมการเกิดคราบเขม่า
SD สำหรับเครื่องยนต์เบนซินที่ผลิตระหว่าง คศ. 1968-1970 (พศ.2511-2513)โดยมีสารคุณภาพสูงกว่า SC และมีสารเพิ่มคุณภาพมากกว่า SC
SE สำหรับเครื่องยนต์เบนซินที่ผลิตระหว่าง คศ. 1971-1979 (พศ.2514-2522)มีสารเพิ่มคุณภาพเพื่อเพิ่มสมรรถนะให้สูงกว่า SD และ SC และยังสามารถใช้แทน SD และ SC ได้ดีกว่าอีกด้วย
SF สำหรับเครื่องยนต์เบนซินที่ผลิตระหว่าง คศ. 1980-1988 (พศ.2523-2531)มีคุณสมบัติป้องกันการเสื่อมสภาพสามารถจะทนความร้อนสูงกว่า SE และยังมีสารชำระล้างคราบเขม่าได้ดีขึ้น
SG สำหรับเครื่องยนต์เบนซินที่ผลิตระหว่าง คศ.1989-1993 (พศ.2532-2536)มีคุณสมบัติเพิ่มขึ้นกว่ามาตรฐาน SF โดยเฉพาะมีสารป้องกันการสึกหรอ สารป้องกันการกัดกร่อน สารป้องกันสนิมสารป้องกันการเสื่อมสภาพเนื่องจากความร้อน และสารชะล้าง-ละลาย และย่อยเขม่าที่ดีขึ้น
SH เริ่มประกาศใช้เมื่อปี คศ. 1994(พ.ศ.2537) เนื่องจากบริษัทผู้ผลิตเครื่องยนต์ได้มีการพัฒนาเครื่องยนต์อย่างรวดเร็วมี ระบบใหม่ ๆ ในเครื่องยนต์ที่ถูกคิดค้นนำเข้ามาใช้ เช่น ระบบ Twin Cam, Fuel Injector, Multi-Valve, Variable Valve Timing และยังมีการติดตั้งระบบแปรสภาพไอเสีย (Catalytic Convertor) เพิ่มขึ้น
SJ เริ่มประกาศใช้เมื่อ คศ. 1997(พ.ศ.2540) มีคุณสมบัติทั่วไปคลายกับมาตรฐาน SH แต่จะช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ดีกว่ามีค่าการระเหยตัว ( Lower Volatility) ต่ำกว่าทำให้ลดอัตราการกินน้ำมันเครื่องลงและมีค่าฟอสฟอรัส ( Phosphorous) ที่ต่ำกว่าจะช่วยให้เครื่องกรองไอเสียใช้งานได้นานขึ้น
ขอบคุณข้อมูล http://marine.rtna.ac.th/Webpage/Comment/Com01_1.htm
ณ ปัจจุบัน ได้มีการพัฒนาน้ำมันเครื่องเบนซินได้สูงถึงเกรด SM แล้วครับ ดังภาพล่าง
ตัวอย่างน้ำมันเครื่องเบนซิน API SM / CF |
วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
ไม่ใช่แฟน..ทำแทนไม่ได้!!! แต่..น้ำมันเครื่องดีเซลและเบนซิน แทนกันด้าย...ย
ถ้าท่านมีน้ำมันเครื่องที่เหลือจากการเปลี่ยนถ่ายครั้งก่อน หรือที่แถมมาตอนซื้อนั่นแหละครับ ลองสังเกตดูตรงฉลากที่ติดด้านหน้าแกลลอนดูครับ จะพบตัวหนังสือประมาณนี้
ถ้าเป็นน้ำมันเครื่องของเบนซิน จะเขียนประมาณว่า API SM/CF , API SL/CF หรือ API SJ/CF ...เป็นต้น
ถ้าเป็นน้ำมันเครื่องของดีเซล ก็จะเขียนประมาณว่า API CI-4/SL , API CH-4/SL หรือ API CG-4/SJ ...เช่นกัน
มาดูความหมายของตัวอักษรกันดีกว่าครับ
ให้ดูอักษรตัวแรกที่ต่อจากคำว่า API ครับ
" S " มาจากคำว่า service หรือ spark ignition engine หมายถึง เครื่องยนต์ที่จุดระเบิดโดยใช้ประกายไฟจากเขี้ยวหัวเทียน ซึ่งหมายถึงเครื่องเบนซินนั่นเองครับ
" C " มาจากคำว่า commercial หรือ compression ignition engine หมายถึงเครื่องยนต์ที่จุดระเบิดโดยใช้ความร้อนจากการอัดตัวของอากาศ ซึ่งหมายถึงเครื่องยนต์ดีเซลนั่นเองครับ
เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็หมายความว่า เราสามารถใช้น้ำมันเครื่องชนิดเดียวกัน ได้ทั้งกับเครื่องดีเซลและเครื่องเบนซิน (เพราะน้ำมันยี่ห้อเดียวกัน จะระบุค่า S และ C ในแกลลอนเดียวกัน)
และหากที่บ้านของท่าน มีทั้งรถเก๋งและปิคอัพ ท่านก็สามารถที่จะซื้อน้ำมันเครื่องยี่ห้อเดียว แล้วนำมาใส่ได้ทั้งสองคัน ก็เป็นการประหยัด และไม่ผิดกฎกฏิกาแต่อย่างใดทั้งสิ้นครับ (ส่วนที่แตกต่างของน้ำมันเครื่อง อยู่ที่เกรดของน้ำมันครับ โดยดูได้จากตัวอักษรที่ต่อจาก S และ C ครับ วันหน้าจะมาอธิบายเพิ่มเติมครับ ปรกติราคามักเป็นตัวกำหนดคุณภาพครับ ยิ่งแพงน้ำมันมักจะดี แต่ก็ควรเทียบยี่ห้อด้วยนะครับ บางครั้งเกรดเดียวกัน ต่างยี่ห้อก็ต่างราคานะครับ)
ซ.ต.พ. = ซึ่งต้องพิสูจน์
note : API มาจาก American Petroleum Institute
สถาบันปิโตรเลียมของอเมริกา
ตัวอย่างน้ำมันเครื่องเบนซิน API SM/CF |
ตัวอย่างน้ำมันเครื่องดีเซล API CH-4/SJ |
วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
แบตฯ.(เตอรี่) เก่ามีค่า...อย่า...ทิ้ง !!!
ถ้าเปรียบได้กับอวัยวะในร่างกายของคนเรา แบตเตอรี่ก็คงเทียบได้กับ "หัวใจ" ของคนเรานั่นเองครับ...
ลองคิดดูซิครับ ว่ามีความสำคัญขนาดไหน? หากหัวใจของเราหยุดเต้นหรือไม่ทำงาน นั่นหมายถึงการสิ้นสุดของชีวิต(ก็ตายนั่นแหละครับ!) ของแต่ละคนเลยทีเดียว
รถยนต์ก็เช่นกันครับ...หากแบตเตอรี่เสื่อม หรือเสีย เก็บไฟไม่อยู่แล้ว รถยนต์ก็ไม่สามารถใช้งานได้เช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่า เราไม่ต้องสูญเสียรถยนต์ไปทั้งคันเหมือนกับชีวิตของคนเรา แค่ถอดแบตเตอรี่ออกแล้วเปลี่ยนลูกใหม่ใส่กลับเข้าไป ก็สามารถใช้ได้ดังเดิมแล้วครับ
เพียงแค่อยากให้ทราบว่า ทุกครั้งที่เปลี่ยนแบตเตอรี่ ไม่ว่าที่ร้านค้า, อู่ซ่อมรถ,หรือศูนย์บริการต่างๆ เค้าได้คิดราคาตีเทิร์นลูกเก่าให้ท่านแล้วหรือยังครับ?
รู้ไหมครับว่า...แบตฯ.เก่าของท่านนั้น (ขนาด 70 แอมป์) ที่ใช้กับปิคอัพของเรานั้น ราคา ณ ขณะนี้ (23/05/54) ประมาณ 400 บาทครับ (ขึ้นอยู่กับแต่ละสถานที่เป็นคนกำหนดครับ) ก็ไม่น้อยเหมือนกันนะครับสำหรับเศรษฐกิจในขณะนี้
ฉะนั้น หากมีการเปลี่ยนแบตเตอรี่ครั้งใด ก็อย่าลืมสอบถามกับร้านค้าที่ท่านไปเปลี่ยนด้วยนะครับ ว่าคิดราคาหักเทิร์นแบตฯ.ลูกเก่าให้ท่านหรือยัง จะได้ไม่เสียค่า.....ให้กับทางร้าน จะได้ไม่เจ็บใจภายหลังครับ...
...รู้จักกันซักนิด ???
บล็อกที่คุณผู้อ่านได้หลงเข้ามา จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็แล้วแต่ ทำขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อต้องการเผยแพร่ความรู้ และแลกเปลี่ยนความเห็นกันบ้าง เล็กๆน้อยๆ เกี่ยวกับเรื่องรถยนต์เอนกประสงค์ หรือภาษาชาวบ้าน เรียกว่า "รถปิคอัพ" นั่นเองครับ... เป็นหลัก
ตัวผมเองก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ หรือ GURU เฉพาะด้านแต่อย่างใด เพียงแต่อาศัย อ่านจากตำราบ้าง ครูพักลักจำบ้าง และอาศัยบางช่วงของเวลาที่ได้เข้ามาคลุกคลีเกี่ยวกับอะไหล่ เลยอยากถ่ายทอดประสบการณ์อันนี้ ผ่านตัวหนังสือ เพื่อผู้อ่านบางท่าน อาจจะได้ประโยชน์ไปบ้าง ไม่มากก็น้อย เพราะเก็บไว้กับตัวก็เสียประโยชน์เปล่าๆ
หากบทความใด ไปกระทบกระเทือนไม่ว่าในเรื่องหนึ่งเรื่องใด และ/หรือ ทางหนึ่งทางใดต่อผู้อื่น ผมก็ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย และพร้อมรับฟังทุกความคิดเห็น(ถ้ามี) เพื่อปรับปรุง และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม มากที่สุด ต่อไป
ด้วยจิตคารวะ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)